• เดินเร็ว 3.5 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 140 กิโลแคลอรี
  • การวิ่งจ็อกกิ้ง ความเร็ว 5 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 295 กิโลแคลอรี
  • การขี่จักรยาน ความเร็วต่ำกว่า 10 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 145 กิโลแคลอรี
  • การขี่จักรยาน ความเร็ว 10 ไมล์ / ชั่วโมง เผาผลาญได้ 195 กิโลแคลอรี
  • การยกน้ำหนักฟรีเวท เผาผลาญได้ 110 กิโลแคลอรี
  • ว่ายน้ำฟรีสไตล์เร็วปานกลาง เผาผลาญได้ 255 กิโลแคลอรี
  • แอโรบิก เผาผลาญได้ 240 กิโลแคลอรี
  • บาสเก็ตบอล เผาผลาญได้ 220 กิโลแคลอรี
  • เต้นรำ เผาผลาญได้ 165 กิโลแคลอรี

นอกจากนี้สำหรับคนที่เริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ เรามีข้อแนะนำดังต่อไปนี้

  • สำหรับ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการออกกำลังกาย เพื่อไม่กระทบต่ออาการจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย

  • เริ่มกำหนด เป้าหมายการออกกำลังกาย ตั้งแต่ 10 นาที และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น 30-60 นาที หรือแบ่งการออกกำลังกายออกเป็นช่วงสั้นๆ แต่รวมกันให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที เช่น ตื่นนอนตอนเช้าออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว 20 นาที หลังเลิกงานไปเดินเร็วอีก 20 นาที ก่อนนอนบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องอีก 10 นาที เป็นต้น

  • พึ่งพาวิดีโอ วิซีดีหรือดิวีดี บริหารร่างกายได้เองที่บ้าน ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้ ใครขี้เกียจเดินทางก็เช่าหรือซื้อท่าทางการบริหารร่างกายมาทำตามที่บ้านก็ สะดวกเหมือนกัน ทั้งนี้ควรพิจารณาถึงคุณสมบัติของผู้ฝึกสอนที่น่าเชื่อถือ และมีความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกาย

ล่าสุด ดร.เซดริก ไบร์อัน นักสรีรวิทยา ที่ปรึกษาการออกกำลังกายแห่งสมาคมเพื่อการออกกำลังกายแห่งสหรัฐอเมริกา อ้างว่าจากการวิจัยผู้หญิงน้ำหนักเกินอายุ 50-75 ปี ที่ให้ออกกำลังกายช่วงเช้าโดยเฉลี่ย 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์พบว่า การนอนหลับของกลุ่มตัวอย่างเป็นไปได้ดีขึ้นและจากออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้สามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า 13 กิโลกรัมทีเดียว

โดย ดร.เซดริก ให้ความเห็นถึงเบื้องหลังความสำเร็จของการออกกำลังกายคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการออกกำลังกาย อันเนื่องมาจากการออกกำลังกายตอนเช้าเปิดโอกาสให้คนหันมาออกกำลังกายจนติด เป็นนิสัยได้มากกว่าการเลือกออกกำลังกายในช่วงเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ทำให้มีเหตุต้องเลื่อนการออกกำลังกาย

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today